บริษัท อุตสาหกรรมการบิน จำกัด (TAI) โดย นาวาอากาศโท สุรศักดิ์ ภู่ทอง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ได้เข้าร่วมงานแถลงข่าว โครงการจัดหาเครื่องบินขับไล่โจมตีทดแทน เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2568 ณ ห้องบรรยาย กองบัญชาการกองทัพอากาศ TAI พร้อมสนับสนุนการพัฒนาอุตสาหกรรมป้องกันประเทศร่วมกับกองทัพอากาศในทุกมิติ ผ่านข้อเสนอ Defence Offset ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการถ่ายทอดเทคโนโลยีที่สำคัญ รวมถึงการพัฒนาบุคลากรและอุตสาหกรรมภายในประเทศ เพื่อสร้าง ความมั่นคงทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมป้องกันประเทศของไทยอย่างยั่งยืน

ทั้งนี้ กองทัพอากาศได้กำหนดหลักการและข้อพิจารณาสำคัญในการดำเนินโครงการ ได้แก่ เครื่องบินขับไล่โจมตีฝูงใหม่ต้องมีสมรรถนะที่ดีกว่าเครื่องบินขับไล่ที่กองทัพอากาศใช้งานอยู่ในปัจจุบัน มีความเหมาะสมในด้านคุณสมบัติร่วมและความต่อเนื่อง (Commonality & Continuity) รวมทั้งมีการชดเชยการนำเข้ายุทโธปกรณ์ (Defence Offset) ตามนโยบายรัฐบาลและนโยบายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เพื่อพัฒนาสู่การพึ่งพาตนเองอย่างยั่งยืน เสริมสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ พลอากาศเอก พันธ์ภักดี พัฒนกุล ผู้บัญชาการทหารอากาศ ได้กล่าวว่า โครงการจัดหาเครื่องบินขับไล่โจมตีทดแทน เป็นหนึ่งในโครงการสำคัญซึ่งขับเคลื่อนยุทธศาสตร์กองทัพอากาศ ตามวิสัยทัศน์การพัฒนาสู่ “กองทัพอากาศที่แข็งแกร่งและมีประสิทธิภาพ หรือ UNBEATABLE AIR FORCE” ให้มีความพร้อมสำหรับการปกป้องอธิปไตยและความมั่นคงของชาติ บนพื้นฐานประสิทธิภาพและคุณภาพเหนือปริมาณ โดยกองทัพอากาศได้กำหนดหลักการและข้อพิจารณาสำคัญในการดำเนินโครงการ ได้แก่ เครื่องบินขับไล่โจมตีฝูงใหม่ต้องมีสมรรถนะที่ดีกว่าเครื่องบินขับไล่ที่กองทัพอากาศใช้งานอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งคณะกรรมการจัดซื้อโดยวิธีรัฐบาลต่อรัฐบาลได้เจรจากับทาง FMV ในเรื่องขอบเขตของข้อเสนอหลักหรือ Main Package จนได้ข้อยุติแล้ว และคณะกรรมการบริหารการชดเชยการนำเข้ายุทโธปกรณ์ ได้เจรจากับบริษัท Saab ในเรื่องข้อเสนอ Defence Offset เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสด

ซึ่งสามารถสรุปได้เป็นหัวข้อสำคัญ MIDSR ดังนี้ M – Main Package ในการจัดหาทั้ง 3 ระยะของโครงการนั้น กองทัพอากาศจะได้รับเครื่องบิน GRIPEN E/F รวมจำนวน 12 เครื่อง อาวุธนำวิถีอากาศสู่อากาศระยะไกลเกินสายตาแบบ METEOR นอกจากนี้ บริษัท SAAB จะดำเนินการปรับปรุงเครื่องบินแจ้งเตือนทางอากาศ SAAB 340 AEW ให้เป็นรุ่น SAAB AEW&C ซึ่งเป็นการเพิ่มขีดความสามารถการบัญชาการและควบคุมการรบจากบนเครื่องบิน SAAB 340 I - Indirect Offset และ D – Direct Offset บริษัท Saab เสนอการชดเชยการนำเข้ายุทโธปกรณ์ในภาพรวมจำนวนทั้งสิ้น 14 รายการ แบ่งเป็น Indirect Offset 7 รายการ และ Direct offset 7 รายการ S – Synchronization (ความต่อเนื่องสอดคล้องของโครงการ) R – Risk (การบริหารความเสี่ยง)

กองทัพอากาศวางแผนและเตรียมความพร้อมในด้านต่าง ๆ ให้เกิดความสอดคล้องประสานกันของโครงการทั้ง 3 ระยะ ทั้งการส่งมอบเครื่องบิน การฝึกอบรม การเตรียมความพร้อมด้านกำลังพล ระบบการซ่อมบำรุง และโครงสร้างพื้นฐาน ตลอดจนความสอดคล้องของข้อเสนอที่ได้รับจากการชดเชยการนำเข้ายุทโธปกรณ์ รวมทั้งประเมินและวางแผนบริหารจัดการความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นตลอดระยะเวลาในการดำเนินโครงการ ทั้งนี้ ข้อเสนอการชดเชยการนำเข้ายุทโธปกรณ์ (Offset) ของบริษัท Saab ได้เสนอการชดเชยทางตรง (Direct Offset) จำนวน 7 รายการ ดังนี้
1. บริษัท Saab จัดตั้งหน่วยงานวิจัยและพัฒนา (Saab R&D Office)
2. การได้รับสิทธิทรัพย์สินทางปัญญา (Intellectual Property Right) ของ Link-T
3. การพัฒนาระบบเชื่อมโยงข้อมูลทางยุทธวิธี (Link-T Development)
4. การพัฒนาอุตสาหกรรมด้านการบินในการปรับปรุงอากาศยาน
5. การส่งเสริมอุตสาหกรรมการบินและการสร้างห่วงโซ่อุปทาน Gripen E/F ในประเทศ
6. การพัฒนาขีดความสามารถในการส่งกำลังซ่อมบำรุงระดับประเทศ
7. การพัฒนาขีดความสามารถการซ่อมบำรุง ณ กองบิน 1

ส่วนข้อเสนอการชดเชยทางอ้อม (Indirect Offset) จำนวน 7 รายการ ดังนี้
1. การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (Foreign Direct Investment)
2. การพัฒนาเทคโนโลยีด้านไซเบอร์
3. การก่อตั้งศูนย์นวัตกรรมในประเทศไทย
4. การส่งเสริมการพัฒนาเทคโนโลยีด้านการเกษตร
5. การศึกษาและการพัฒนาทักษะอาชีพ
6. ความร่วมมือด้านการศึกษาและการวิจัย
7. การพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษโดย British Council

นอกจากนี้ เอกอัครราชทูตสวีเดนยังได้กล่าวถึงความรู้สึกในความภาคภูมิใจที่ได้เข้าร่วมงานแถลงข่าวของกองทัพอากาศในวันนี้นับเป็นเหตุการณ์สำคัญนี้สะท้อนถึงความร่วมมืออันลึกซึ้งและเปี่ยมด้วยความไว้วางใจระหว่างสวีเดนและไทย ซึ่งสร้างขึ้นจากความสัมพันธ์ทางการทูต ค่านิยมร่วมกัน และความเคารพซึ่งกันและกันกว่า 157 ปี ความร่วมมือด้านเครื่องบิน Gripen E/F และโครงการชดเชยทางอุตสาหกรรมของบริษัท Saab จะไม่เพียงเสริมสร้างขีดความสามารถด้านการป้องกันประเทศของไทยเท่านั้น แต่ยังจะช่วยกระชับความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ในด้านการค้า นวัตกรรม และการพัฒนาอย่างยั่งยืนให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น

พลอากาศโท ประภาส สอนใจดี โฆษกกองทัพอากาศ เปิดเผยว่า วัตถุประสงค์ของการแถลงข่าวครั้งนี้ เพื่อต้องการสื่อสารความคืบหน้าและหลักการดำเนินโครงการจัดหาเครื่องบินขับไล่แบบใหม่ รวมทั้งเพื่อสร้างความเข้าใจต่อสาธารณะ เน้นความโปร่งใส ความคุ้มค่า การแข่งขันอย่างเป็นธรรม และเป็นไปตามนโยบายรัฐบาลที่คำนึงผลประโยชน์ของชาติ เป็นสำคัญ พร้อมยืนยันถึงความมุ่งมั่นของกองทัพอากาศและสวีเดนในความร่วมมือระยะยาว โครงการนี้ไม่ได้เป็นเพียงการจัดหาเครื่องบิน แต่คือการลงทุนในความมั่นคงของประเทศและความสามารถในการป้องกันอธิปไตยทางอากาศในระยะยาว เครื่องบิน Gripen E/F มีสมรรถนะล้ำสมัย ระบบเรดาร์ AESA ระบบสงครามอิเล็กทรอนิกส์ และจรวด BVR แบบ Meteor ซึ่งเป็นระบบที่ตอบโจทย์การรบในอนาคต